ฟิลเลอร์ (Filler) คือ สารเติมเต็มที่ฉีดเข้าไปใต้ชั้นผิวหนังเพื่อแก้ไขความบกพร่องต่างๆบนใบหน้า โดยฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐานอย.ไทย จะอยู่ในรูปสารไฮยาลูรอน หรือ Hyaluronic Acid (HA) ที่เลียนแบบสารที่มีอยู่ตามธรรมชาติใต้ชั้นผิว สามารถสลายได้เอง ไม่ตกค้างในร่างกาย มีความปลอดภัยสูง


สารบัญ
- ฟิลเลอร์มีกี่แบบ
- ฟิลเลอร์ฉีดบริเวณไหนได้บ้าง
- ฉีดฟิลเลอร์แต่ละบริเวณใช้กี่ CC
- ฉีดฟิลเลอร์อันตรายไหม อาการแพ้ฟิลเลอร์เป็นอย่างไร
- ควรเตรียมตัวอย่างไรก่อนฉีด
- ฉีดฟิลเลอร์เจ็บไหม บวมกี่วัน
- ฟิลเลอร์มีกี่ยี่ห้อ แตกต่างกันอย่างไร
- เติมฟิลเลอร์ด้วยปลายเข็มแหลมหรือปลายทู่ดีกว่า
- เติมไขมันกับฟิลเลอร์อันไหนดีกว่า
- สรุป
ฟิลเลอร์มีกี่แบบ ?
ฟิลเลอร์มีอยู่ด้วยกัน 3 แบบ คือ
-
ฟิลเลอร์แบบถาวร (Permanent filler)
เป็นสารเติมเต็มประเภทซิลิโคน หรือพาราฟิน ไม่สามารถสลายไปได้เอง อาจมีผลข้างเคียงได้ในระยะยาวจึงไม่นิยมใช้ในการฉีดบริเวณใบหน้า
-
ฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวร (Semi-Permanent filler)
ไม่สามารถสลายไปได้เองทั้งหมด อาจเกิดผลข้างเคียงได้ถ้าสลายไม่หมด เช่น
-
ฟิลเลอร์แบบชั่วคราว (Temporary filler)
เป็นสารเติมเต็ม Hyaluronic acid (HA) สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ มีความปลอดภัยสูง

โดยฟิลเลอร์ที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน จะเป็นสารเติมเต็ม Hyaluronic acid (HA) ที่ได้รับรองมาตรฐาน อย.ไทย จัดอยู่ในประเภทฟิลเลอร์แบบชั่วคราว สลายได้เอง ไม่ตกค้างในร่างกาย หรือสามารถฉีดยาสลายได้ มีความปลอดภัยสูง
ฟิลเลอร์ฉีดบริเวณไหนได้บ้าง ?

- ฟิลเลอร์หน้าผากการเติมฟิลเลอร์หน้าผาก เป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยแก้ปัญหาหน้าผากยุบ หน้าผากแบน ไม่มีมิติ ให้นูนสวยได้สัดส่วนกับใบหน้าส่วนอื่น และยังช่วงให้ใบหน้าสวยตามหลักโหวงเฮ้ง เป็นวิธีนึงที่เหมาะกับคนไข้ที่ไม่อยากผ่าตัด
- ฟิลเลอร์ใต้ตาการเติมฟิลเลอร์ใต้ตาสามารถแก้ปัญหาใต้ตาได้หลากหลาย และแก้ปัญหาได้ตรงตามสาเหตุในแต่ละชั้นผิว เมื่ออายุมากขึ้นแนวกระดูกเบ้าตา ไขมันใต้ตาชั้นลึกทรุดตัวลงทำให้ตาโบ๋ รวมถึงผิวบริเวณใต้ตาเกิดความหย่อนคล้อย ขาดคอลลาเจน เห็นเป็นลักษณะถุงใต้ตา และริ้วรอยใต้ตา ซึ่งการเติมฟิลเลอร์ใต้ตาสามารถช่วยแก้ไขปัญหาใต้ตาคล้ำ ตาลึกโบ๋ ถุงใต้ตา เหล่านี้ได้อย่างดี


- ฟิลเลอร์คางปัญหารูปคางสั้น คางเบี้ยวไม่สมมาตร ทำให้รูปหน้าไม่เรียว หน้าสั้น หน้าดุ สามารถแก้ไขได้ด้วยการเติมฟิลเลอร์คาง ซึ่งจะช่วยช่วยปรับรูปทรงคาง แก้ปัญหาคางตัด คางบุ๋ม คางไม่เท่ากัน ปรับรูปหน้าเรียว เหมาะสำหรับคนไข้ที่ไม่อยากทำศัลยกรรมเสริมคาง


- ฟิลเลอร์ร่องแก้มร่องแก้มเกิดจากหลากหลายสาเหตุ ยกตัวอย่างเช่น ผิวบริเวณหน้าแก้มหย่อนพับลงมาเป็นร่องแก้ม ไขมันและกระดูกบริเวณร่องแก้มฝ่อตัวลงตามวัย ซึ่งทั้งสองสาเหตุนี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการเติมฟิลเลอร์ ซึ่งจะช่วยให้ร่องแก้มตื้นขึ้น ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น


- ฟิลเลอร์แก้มตอบปัญหาแก้มตอบทำให้ใบหน้าดูโทรม มีอายุ ที่สำคัญทำให้โหนกแก้มดูใหญ่และเด่น การฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบจะช่วยลดความเด่นของกระดูกโหนกแก้ม ปรับใบหน้าให้ได้รูป มีมิติมากยิ่งขึ้น อีกทั้งการฉีดฟิลเลอร์ในตำแหน่งนี้เป็นจุดที่สามารถทำให้ใบหน้าส่วนล่าง กระเปาะแก้มดูยกกระชับขึ้นได้อีกด้วย


- ฟิลเลอร์แก้มส้มการฉีดฟิลเลอร์แก้มส้ม หรืออีกชื่อหนึ่งเรียกว่าฟิลเลอร์ยกกระชับช่วงหน้าแก้ม การฉีดฟิลเลอร์บริเวณนี้นอกจากจะทำให้ช่วงหน้าแก้มมีมิติได้สัดส่วนที่สวยงามแล้ว ยังเป็นจุดที่สามารถยกกระชับใบหน้าขึ้นได้ ช่วยร่องใต้ตา ถุงใต้ตา และ ร่องแก้มตื้นขึ้น


- ฟิลเลอร์ขมับบริเวณขมับตอบทำให้โหนกแก้มดูเด่นชัด หางคิ้วตก หางตาตก การฉีดฟิลเลอร์ขมับช่วยให้ขมับที่ตอบดูตื้นขึ้น เต็มขึ้น โหนกแก้มจะดูเด่นน้อยลง หน้าละมุนได้รูปสวยมากขึ้น รวมถึงสามารถยกหางตาและหางคิ้วตกให้เปิดขึ้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ


- ฟิลเลอร์จมูกช่วยปรับสันจมูกให้เรียบเนียน เป็นทรงสวย ปรับจมูกให้ดูโด่งขึ้น และยกปลายจมูกให้เชิด แต่ทั้งนี้จะไม่สามารถปรับให้โด่งมากได้ หรือทำให้สันจมูกดูคมชัดได้มากเท่ากับการทำศัลยกรรมจมูก
- ฟิลเลอร์ปากฟิลเลอร์ปากสามารถแก้ปัญหาปากได้หลายหลาย ไม่ว่าจะเป็นการช่วยแก้ปัญหาปากบาง ปากไม่ได้รูป ปากไม่เท่ากัน ปรับรูปปากกระจับ สายฝอตามเทรน และ เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปากที่แห้งแตก


- ฟิลเลอร์ร่องน้ำหมากการเติมฟิลเลอร์ร่องน้ำหมาก สามารถแก้ไขปัญหาริ้วรอยร่องลึกช่วงบริเวณมุมปาก และสามารถยกมุมปากที่ดูตกให้ดูยิ้มขึ้นได้ ซึ่งการเติมฟิลเลอร์บริเวณนี้แนะนำควรเติมหลังจากที่ยกกระชับช่วงแก้มบริเวณอื่นขึ้นไปดีแล้ว เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ
- ฟิลเลอร์กรอบหน้า
ปัญหากรอบหน้าไม่ชัด สันกรามไม่คมสวย ช่วงแก้มล่างหย่อนคล้อย สามารถแก้ไขได้ด้วยการเติมฟิลเลอร์กรอบหน้า(Jawline filler) ซึ่งสามารถปรับแนวกระดูกสันกรามให้คมชัดขึ้น ยกกระชับผิวช่วงแก้มล่างที่หย่อนคล้อย เห็นกรอบหน้าชัดขึ้น แลดูอ่อนเยาว์ และช่วยปรับรูปหน้าที่ไม่สมมาตรให้ใกล้เคียงกันมากขึ้นได้
ฉีดฟิลเลอร์แต่ละบริเวณใช้กี่ CC
การเติมฟิลเลอร์ในแต่ละบริเวณจะใช้ปริมาณฟิลเลอร์ที่ไม่เท่ากัน และแตกต่างกันออกไปตามระดับปัญหาที่มีในแต่ละบุคคล โดยปริมาณฟิลเลอร์เบื้องต้นในแต่ละตำแหน่งเป็นดังนี้


ฉีดฟิลเลอร์อันตรายไหม อาการแพ้ฟิลเลอร์เป็นอย่างไร ?

หลายคนอาจกังวลว่าฉีดฟิลเลอร์อันตรายไหม ???
การฉีดฟิลเลอร์จะไม่เป็นอันตรายหากใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ได้มาตรฐาน อย.ไทย ซึ่งจะมีความปลอดภัยค่อนข้างสูง ไม่ก่อให้เกิดอันตราย หรือการแพ้ตัวฟิลเลอร์ แต่ในบางเคสที่ฉีดแล้วเกิดอาการบวมแดง มีผื่นแดง คันบริเวณที่ฉีด ซึ่งเป็นอาการแพ้ฟิลเลอร์ มักจะเกิดกับคนที่ฉีดฟิลเลอร์ปลอม ที่ไม่สามารถสลายได้เอง

และนอกจากนี้หากฉีดฟิลเลอร์กับแพทย์ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญ ก็อาจเกิดอันตรายได้ และยังมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการไหลย้อยของฟิลเลอร์ เพราะแพทย์อาจคำนวณปริมาณฟิลเลอร์ไม่เหมาะสม มากกว่าปัญหาที่มีอยู่ หรือฉีดผิดตำแหน่ง ทำให้ฟิลเลอร์เป็นก้อน หรือเคลื่อนตัวออกจากตำแหน่งที่ฉีด

จากข้างต้นทำให้ต้องมีการฉีดสลายฟิลเลอร์ออก หรือหากฉีดฟิลเลอร์มาแล้วรู้สึกไม่สวย ไม่ชอบ ก็สามารถทำการฉีดสลายฟิลเลอร์โดยใช้เอมไซน์ Hyaluronidase ได้ แต่ถ้าเป็นซิลิโคนหรือสารเหลว จะไม่สามารถสลายไปได้เอง และในบางเคสก็จะไม่เห็นผลเลย ต้องขูดออกเท่านั้น

อีกหนึ่งปัญหาที่พบได้หากฉีดกับแพทย์ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญ หรือบุคคลที่ไม่ใช่แพทย์ ฟิลเลอร์อาจเข้าเส้นเลือดได้ เนื่องจากผู้ฉีดไม่รู้จักกายวิภาคของใบหน้าดีพอ เมื่อฟิลเลอร์เข้าเส้นเลือดอาจทำให้เกิดเนื้อตายในบริเวณนั้นได้ อ่านเพิ่มเติม: ฉีดฟิลเลอร์ดีไหม มีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง
ควรเตรียมตัวอย่างไรก่อนฉีด ?
ก่อนมาฉีดฟิลเลอร์เราควรเตรียมตัวและปฏิบัติตามข้อต่อไปนี้ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและความปลอดภัย

- ควรงดยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs ยาละลายลิ่มเลือด และวิตามิน ประมาณ 1 สัปดาห์ ก่อนการฉีดฟิลเลอร์ เนื่องจากเป็นกลุ่มยาที่อาจส่งผลให้บวมง่าย ช้ำง่าย
- งดแอลกอฮอล์ก่อนฉีดฟิลเลอร์ 24 ชั่วโมง
- หากมีโรคประจำตัวควรแจ้งแพทย์ก่อนทำหัตถการ
- งดทายาชนิดผลัดเซลล์ผิวบริเวณที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์
- งดการทำเลเซอร์ต่างๆ ก่อนฉีดฟิลเลอร์
- หากมีผิวหนังอักเสบ หรือติดเชื้อ ในบริเวณที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์แนะนำปรึกษาแพทย์ก่อน
ฉีดฟิลเลอร์เจ็บไหม บวมกี่วัน ?
ก่อนการเติมฟิลเลอร์จะมีการใช้ยาชาทั้งแบบทาและแบบฉีด ในฟิลเลอร์บางชนิดยังมียาชาในตัวอีกด้วย จะช่วยให้ไม่รู้สึกเจ็บในขณะที่เติมฟิลเลอร์ โดยการแปะยาชาแบบทาจะใช้เวลาประมาณ 30 นาที


โดยหลังจากฉีดฟิลเลอร์ไปแล้ว อาจเกิดคำถามกันว่าแล้วฉีดฟิลเลอร์กี่วันเข้าที่? จะบวมกี่วัน?
ซึ่งหลังจากฉีดฟิลเลอร์จะเห็นผลลัพธ์ทันทีหลังทำ แต่โดยปกติอาจจะมีอาการบวมจากยาชาและอาการบวมจากฟิลเลอร์ได้ และจะค่อยๆหายไปได้เองประมาณ 7-14 วัน

จากนั้นจะเห็นผลเข้าที่ 100% ประมาณ 2 – 4 สัปดาห์หลังจากอาการบวมหายและฟิลเลอร์กลืนเข้าไปกับผิวโดยระหว่างนี้การดูแลตนเองหลังฉีดฟิลเลอร์ก็เป็นสิ่งสำคัญต่อผลลัพธ์ที่จะได้ค่ะ โดยสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ วิธีดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์
ฟิลเลอร์มีกี่ยี่ห้อ แตกต่างกันอย่างไร ?
ฟิลเลอร์มีหลากหลายรุ่น หลากหลายยี่ห้อ แต่ปัจจุบันมีฟิลเลอร์ 8 ยี่ห้อที่ผ่านอย.ไทยด้วยกัน และที่ทางคลินิกเราใช้เป็นหลักมี 3 ยี่ห้อ ได้แก่ Juvederm Restylane และ Neuramis

- ฟิลเลอร์ Juvederm จากประเทศอเมริกา ผ่านการรับรองจาก อย.อเมริกาและที่ผ่าน อย.ไทยตอนนี้มีอยู่ด้วยกัน 7 รุ่น ฟิลเลอร์ Juvederm มี 2 เทคโนโลยีการผลิต ได้แก่ Hylacross และ Vycross Technology โดยมีหลากหลายรุ่นเพื่อการแก้ปัญหาอย่างครอบคลุม

- ฟิลเลอร์ Restylane จากประเทศสวีเดน ฟิลเลอร์แบรนด์แรกของโลกที่มีการพัฒนาและผลิตมาอย่างยาวนาน ปัจจุบันฟิลเลอร์ Restylane ที่ผ่านมาตรฐาน อย.ไทย มีอยู่ 8 รุ่น แบ่งออกเป็น 2 เทคโนโลยี คือ NASHA technology และ OBT technology

- ฟิลเลอร์ Neuramis จากประเทศเกาหลี มีกระบวนการผลิตด้วย SHAPE Technology ปัจจุบันมีอยู่ 3 รุ่นที่ได้รับรองจาก อย.ไทย คือ Neuramis deep, Neuramis Deep lidocaine และ Neuramis Volume Lidocaine
เติมฟิลเลอร์ด้วยปลายเข็มแหลมหรือปลายทู่ดีกว่า ?
การฉีดฟิลเลอร์จะนิยมใช้เป็นเข็มปลายทู่มากกว่า เพราะเมื่อเทียบกับเข็มปลายแหลมที่จะต้องจิ้มหลายจุด อาจทำให้เกิดรอยเขียวช้ำและโดนเส้นเลือดได้
แต่การใช้เข็มปลายแหลมก็มีข้อดี คือ สามารถวางฟิลเลอร์บนชั้นเยื่อหุ้มกระดูกได้แม่นยำกว่าการใช้เข็มปลายทู่ และฉีดปรับรูปทรงปากได้คมชัดกว่าการใช้เข็มปลายทู่


แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ฉีดและความถนัดของแพทย์แต่ละท่านด้วย เพราะไม่ว่าจะใช้เป็นเข็มปลายแหลมหรือเข็มปลายทู่ก็ยังจำเป็นต้องใช้ทักษะและความระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์จากการฉีดฟิลเลอร์
เติมไขมันกับฟิลเลอร์อันไหนดีกว่ากัน ?
เติมฟิลเลอร์กับไขมัน อันไหนดีกว่ากัน เป็นคำถามยอดฮิตที่หลายๆ คนถามกันเข้ามา โดยทั้ง 2 วิธีนี้เป็นการช่วยเติมเต็มเหมือนกัน แต่ผลลัพธ์และการทำงานค่อนข้างต่างกัน ดังนี้
การเติมไขมัน |
การเติมฟิลเลอร์ |
เป็นการเก็บเซลล์ไขมันตัวเองจากตำแหน่งหนึ่งของร่างกายมาใช้เติมเต็มบริเวณที่ต้องการ | เป็นการใช้สาร Hyaluronic acid ที่ผลิตขึ้นมาเลียนแบบสารที่มีตามธรรมชาติในร่างกาย |
หลังเติมไขมันไปจะยังไม่เห็นผลลัพธ์ที่สมบูรณ์ทันที เซลล์ไขมันจะปลูกถ่ายอยู่บนใบหน้าได้ประมาณ 30% เมื่อครบ 1 เดือน | เห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังทำ |
การสลายของเซลล์ไขมันขึ้นกับการเผาผลาญในร่างกายแต่ละบุคคล | สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติอยู่ได้นานประมาณ 6 เดือน – 2 ปี |
ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อปรับรูปหน้าได้ในทุกตำแหน่ง เน้นการเติมเต็มเป็นหลัก | มีหลายโมเลกุล สามารถแก้ปัญหาบนใบหน้าได้หลายแบบ |
หากใครที่ต้องการปรับยกกระชับรูปหน้า แลดูเป็นธรรมชาติให้เห็นผลทันทีและอยู่ได้นาน แนะนำเป็นการเติมฟิลเลอร์จะตอบโจทย์มากกว่าค่ะ

สรุป
การฉีดฟิลเลอร์เป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เพราะช่วยปรับรูปหน้า แก้ไขปัญหาต่างๆ โดยเห็นผลลัพธ์ได้ทันที ใช้เวลาไม่นาน แต่การเติมฟิลเลอร์นั้นจะต้องเลือกฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับบริเวณที่ต้องการแก้ไขตามปัญหาของแต่ละบุคคล
ดังนั้นก่อนฉีดฟิลเลอร์ควรศึกษาข้อมูลก่อนทำ ดูความน่าเชื่อถือของสถานที่ฉีดฟิลเลอร์ ต้องมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้การรักษา รวมไปถึงมีรีวิวผลลัพธ์ของแต่ละเคสที่ชัดเจน
อ่านวิธีเลือกสถานที่ฉีดฟิลเลอร์เพิ่มเติมที่: ฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี
