“ไหมในท้องตลาดต่อให้เป็นไหมที่มีชื่อเรียกเดียวกัน แต่อยู่คนละสถานที่ก็อาจไม่ใช่ชนิดเดียวกันก็ได้”
การร้อยไหมเพื่อยกกระชับผิว แก้ปัญหาความหย่อนคล้อย ให้หน้าดูอ่อนวัย ส่วนใหญ่จะใช้เส้นไหมแบบมีเงี่ยง เนื่องจากเงี่ยงไหมจะเกี่ยวชั้นผิวและดึงยกกระชับขึ้นไปได้
ซึ่งในปัจจุบันไหมที่มีเงี่ยงมีหลายรูปแบบ ที่มีชื่อเรียกหลากหลายตามกันไป ได้แก่ ไหมก้างปลา ไหมเงี่ยงกุหลาบ ไหมปากปลาฉลาม ไหมดับเบิ้ลล็อก ไหม 8D ไหมทอร์นาโด ไหมมังกร เป็นต้น ซึ่งชื่อดังกล่าวที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับแพทย์ผู้ทำการรักษาหรือคลินิกจะตั้งชื่อเรียกเป็นแบบไหน โดยส่วนมากจะอ้างอิงจากลักษณะของเส้นไหมเป็นสำคัญ
ในส่วนของไหมก้างปลาทางพัชชาคลินิกตั้งชื่อตามลักษณะของเงี่ยง ที่เรียกว่าไหมก้างปลา เพราะลักษณะของเส้นไหมจะเป็นเงี่ยงสองข้างเหมือนก้างของปลา จึงมีการตั้งชื่อเรียกว่า ไหมก้างปลา เพื่อง่ายต่อการจดจำและเมื่อแพทย์ทำการรักษาก็จะอธิบายให้คนไข้เข้าใจได้ง่ายขึ้นค่ะ
ร้อยไหมก้างปลาดีไหม ?
การร้อยไหมก้างปลาเป็นตัวเลือกหนึ่งที่ดีในการยกกระชับผิวเนื่องจากมีเงี่ยงที่สามารถเกาะกับชั้นผิวและดึงยกกระชับส่วนที่หย่อนคล้อยขึ้นมาได้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยขาดความกระชับ รูปหน้าไม่เรียวอยากแก้ปัญหารูปหน้าเพื่อให้ใบหน้าเข้ารูป เรียวสวยมากขึ้น
โดยจะใช้เวลาในการทำไม่นาน ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ทั้งประหยัดค่าใช่จ่ายเพราะการร้อยไหมก้างปลาจะ ใช้งบน้อย และที่สำคัญมีความปลอดภัยเนื่องจากวัสดุสามารถสลายได้ไม่ตกค้าง
ไหมก้างปลาทั่วไปมีกี่ชนิดกี่แบบ
ไหมที่มีเงี่ยงหรือไหมที่เรียกก้างปลามีอยู่ด้วยกัน 3ชนิด แบ่งตามวัสดุที่ใช้ดังนี้ ไหมPDO(Polydioxanone), ไหม PLLA(Polylactic Acid) และ ไหม PCL(Polycaprolactone)
ไหมก้างปลาของพัชชาคลินิกเป็นไหม PDO หรือ Polydioxanone ลักษณะเส้นไหมจะมีสีน้ำเงิน มีความเหนียวแข็งแรงทนทาน ไม่ขาด หัก หรือเปราะง่าย เป็นวัสดุที่นิยมใช้ในทางการแพทย์มีความปลอดภัยสูง สามารถสลายได้เองตามกลไกธรรมชาติของร่างกายไม่มีสารตกค้างใช้ชั้นผิวค่ะ
คุณสมบัติของไหมก้างปลา เงี่ยงและเข็มเป็นอย่างไร
ไหมเงี่ยง หรือ ไหมก้างปลา คุณสมบัติในการยกกระชับใบหน้าให้สมบูรณ์แบบไม่ได้ขึ้นกับวัสดุที่มาใช้ทำเส้นไหมเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นกับลักษณะของเงี่ยงไหม และ ลักษณะของปลายเข็มอีกด้วยลักษณะของเงี่ยงไหมสามารถแบ่งได้เป็น 2แบบ ดังนี้
- เงี่ยงแบบบาก
ลักษณะของเงี่ยงชนิดนี้จะเกิดการผลิตโดยมีไหมเส้นเรียบแล้วนำเลเซอร์มาบากที่ผิวด้านนอก ให้เห็นเป็นซี่ๆออกมาจากแนวแกนกลางไหม
เนื่องจากเงี่ยงเกิดจากการบากออกจากเส้นไหมทำให้ก้านของเงี่ยงมีการเคลื่อนตัวไปมาค่อนข้างง่าย ให้ให้แรงยึดเกาะไม่มีความแข็งแรงเท่ากับเงี่ยงแบบหล่อ
- เงี่ยงแบบหล่อ
ลักษณะของเงี่ยงชนิดนี้จะถูกหล่อขึ้นมาพร้อมกับแกนเส้นไหม ซึ่งจะมีแบบแม่พิมพ์ขึ้นรูปไหมแต่ละชนิด มองจากภายนอกจะดูมีความแข็งแรง เห็นเงี่ยงชัดเจนจุดเด่นของเงี่ยงแบบหล่อคือตัวเงี่ยงมีพื้นที่ในการเกาะกับผิวได้มากและมีความแข็งแรงยึดเกาะกับชั้นผิวได้แน่น
ทำให้ผลลัพธ์ในเรื่องของการยกกระชับอยู่ได้ยาวนาน แต่ถ้าดีไซน์ออกมาไม่ดีเงี่ยงกว้างเกินไป การเกาะกับผิวก็จะทำได้ไม่ดีทำให้เลื่อนตกลงมาได้ง่าย
ลักษณะของปลายเข็มไหมสามารถแบ่งได้เป็น 2แบบ ดังนี้
1. เข็มปลายแหลมลักษณะปลายเข็มจะแหลมเหมือนเข็มปกติทั่วไป ทะลุผ่านผิวได้ง่าย มีความเสี่ยงในการตัดโดนเส้นเลือดได้ง่าย ดังนั้นหลังทำสภาพผิวจะมีโอกาสเกิดความบวมเขียวช้ำได้มากกว่าไหมปลายเข็มทู่
2. เข็มปลายทู่ลักษณะปลายเข็มจะมีความทู่ ไม่ค่อยแหลมเท่าเข็มปกติ ทะลุผ่านผิวได้ยากกว่า แต่ลดโอกาสในการไปตัดโดนเส้นเลือด เส้นประสาท ดังนั้นอาการบวม เขียวช้ำหลังทำจะมีไม่ค่อยมาก โดยเข็มปลายทู่สามารถแบ่งได้เป็น 2แบบ ดังนี้
- ปลายทู่แบบตัด (L-type)ลักษณะปลายเข็มจะมีความตัดตรง ไม่มีความคมเท่าปลายเข็มแหลม
- ปลายทู่แบบมน (W-type)ลักษณะปลายเข็มจะมีความทู่มน ไม่บาดผิว
การเลือกไหมที่มีเงี่ยงใหญ่ชัดเจน จะมีความแข็งแรง สามารถเกาะกับผิวได้แน่นจะทำให้ผลลัพธ์ในเรื่องของการยกกระชับอยู่ได้นานกว่าเงี่ยงไหมที่เล็ก ไม่แข็งแรง เนื่องจากเงี่ยงขยับได้ง่าย และการเลือกไหมที่มีปลายเข็มทู่จะสามารถลดโอกาสเกิดอาการบวม เขียวช้ำ ล่นระยะเวลาในการพักฟื้นให้สั้นลงเมื่อเทียบกับเข็มปลายแหลม
การวางแนวเส้นไหม
การใช้จำนวนเส้นไหมในแต่ละบุคคลจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับปัญหารูปหน้า ความกังวลของคนไข้ในแต่ละท่านเป็นหลัก ซึ่งคุณหมอจะทำการประเมินจำนวนเส้นไหมและการวางแนวไหมตามปัญหาเป็นเคสๆไป โดยการวางแนวไหมคร่าวๆของทางคลินิกเพื่อแก้ปัญหาในแต่ละบริเวณจะเป็นดังนี้ค่ะ
- ปัญหากรอบหน้าไม่ชัด แก้มหย่อนคล้อย
แนะนำ 4-6เส้น พื้นฐานของใบหน้าแต่ละคนเริ่มต้นที่ 4เส้น ส่วนในคนที่มีแก้มห้อย มีเนื้อแก้มเยอะ ควรใช้ 6เส้น เพื่อเพิ่มแรงในการดึงและยกได้เยอะมากขึ้น
- ปัญหาแก้มตอบ
แนะนำ 4-6เส้น แพทย์จะยกผิวที่หย่อนคล้อยมาเก็บตรงบริเวณแก้มตอบทำให้แก้มตอบดูเต็มขึ้น แต่คนที่แก้มตอบมาก ไม่มีเนื้อแก้มเลย แนะนำเป็นการเติมเต็มด้วยฟิลเลอร์แทน เพราะไม่มีเนื้อแก้มให้ดึงขึ้นมาปิดบริเวณแก้มตอบได้
- ปัญหาร่องน้ำหมาก
แนะนำ 8เส้น แพทย์จะทำการวางแนวไหมตั้งแต่กรอบหน้า มาจนถึงบริเวณร่องน้ำหมาก และมุมปาก จะได้ความยกสวยแบบเป็นธรรมชาติ แพทย์จะไม่ทำการร้อยไหมข้ามมาดึงร่องน้ำหมากเลยเพราะจะดึงได้ไม่เยอะ ทำให้เกิดรอยรั้งไหมใต้โหนกแก้ม และทำให้โหนกแก้มจะดูสูงและใหญ่ขึ้นด้วย ที่สำคัญจะดูไม่เป็นธรรมชาติเพราะบริเวณกระเปาะแก้มด้านหลังจะป่องให้เห็นชัดเจน
- ปัญหาร่องแก้ม
แนะนำ 10-12เส้น แพทย์จะทำการวางแนวไหมตั้งแต่กรอบหน้า มาจนถึงบริเวณร่องน้ำหมาก มุมปาก ร่องแก้ม แพทย์จะไม่ทำการร้อยไหมข้ามมาดึงร่องแก้มเลยเพราะจะดึงได้ไม่เยอะ ทำให้โหนกแก้มก็จะดูสูงและใหญ่ขึ้น
ที่สำคัญจะดูไม่เป็นธรรมชาติเพราะบริเวณกระเปาะแก้มด้านหลังจะป่องให้เห็นชัดเจนถ้าดึงแค่ช่วงบริเวณร่องแก้ม และถ้าเป็นร่องแก้มลึกเป็นแนว แนะนำเป็นการเติมเต็มด้วยฟิลเลอร์ จะแก้ปัญหาได้ตรงจุดมากกว่า
จำนวนเส้นไหมและแนวไหมดังกล่าวเป็นแบบแผนคร่าวๆสำหรับการร้อยไหมอย่างต่ำที่ควรจะเป็น แต่ถ้าเราเพิ่มจำนวนเส้นไหมและวางแนวไหมให้ถี่มากกว่าเดิมจะสามารถทำให้การยกกระชับเป็นไปได้มากขึ้นและผลลัพธ์อยู่ได้ยาวนานขึ้นเนื่องจากยิ่งมีไหมหลายเส้นการกระจายแรงจะดีขึ้น ทำให้แรงยกมากขึ้นค่ะ
ไหมก้างปลาอยู่ได้นานแค่ไหน
อายุในการทำงานของเส้นไหมก้างปลา ไหมก้างปลาจะละลายหมดไปที่ประมาณ 6-8เดือน โดยขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ได้แก่
- สภาพผิวของคนไข้ บางคนมีคอลลาเจนในผิวน้อย ผิวหลวมมีช่องว่างเยอะ การเกาะของไหมจะไม่ดี ก็จะทำให้อายุของไหมสั้นลง ผิวมีอัตราในการสร้างคอลลาเจนไม่ดี ทำให้ไหมที่ร้อยไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินน้อยลงไปด้วย
- การดูแลหลังร้อยไหม มีผลต่ออายุของไหมเช่นกัน ไหมเป็นไหมละลาย หลังร้อยไหมไปในช่วง 4สัปดาห์แรก ควรงดโดนความร้อน การอบไอน้ำ เลเซอร์ อบซาวน่า จะทำให้ไหมละลายไวจนเกินไหม ไหมก็จะอยู่กับเราได้ไม่นาน
- จำนวนเส้นไหมที่เหมาะสมกับปัญหาที่มี ถ้าเส้นไหมน้อยเกินไปผิวจะถ่วงลงมาได้ไว แนะนำร้อยไหมให้จบในครั้งเดียวดีกว่าร้อยหลายๆครั้งแล้วเก็บปัญหาทีละส่วน
- การใช้ชีวิตประจำวัน ถ้าเป็นคนที่ต้องแสดงสีหน้าเยอะ ไหมจะขยับตามการขยับของกล้ามเนื้อได้ ซึ่งจะทำให้ไหมตกไว
ทำไมบางคนบอกว่าร้อยไหมก้างปลาไม่เห็นผล
การที่ร้อยไหมไปแล้วไม่เห็นผล อาจจะเกิดจากจำนวนเส้นไหมไม่เพียงพอต่อปัญหาผิวที่ต้องการแก้ไข หรือเทคนิคของแพทย์ในการร้อยไหมยังไม่ดีพอ !!!
การร้อยไหมในแต่ละคนแพทย์จะทำการประเมินรูปหน้าให้ก่อนทำ จำนวนไหมที่ใช้และลักษณะของไหมที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับรูปหน้า สภาพผิว และปัญหาของแต่ละคน ซึ่งการร้อยไหมจะเห็นผลทันทีหลังทำ หน้าจะยกกระชับได้รูปสวยมากขึ้น
บางคนบอกเคยร้อยไหมก้างปลาแล้วไม่ยก ไม่ได้ผลตามที่หวังเลย ต้องดูจากรูปหน้าคนไข้ ถ้ามีแก้มเยอะ การที่ใช้จำนวนเส้นไหมไม่เพียงพอ การวางแนวไหมไม่ตรงจุด ก็จะทำให้การร้อยไหมไม่ได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจของคนไข้ได้ ซึ่งสำคัญว่าต้องอาศัยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการร้อยไหมที่มีประสบการณ์เท่านั้น จะทำให้ผลลัพธ์หลังร้อยไหมออกมาเป็นที่น่าพอใจของคนไข้ได้
เตรียมตัวก่อนการร้อยไหมอย่างไร
ก่อนมาร้อยไหมจะต้องมีการเตรียมความพร้อมมาก่อนเพื่อผลลัพธ์ที่ดีของการร้อยไหม เช่น
- สระผมก่อนที่จะมาร้อยไหม เพราะบริเวณขมับจะเป็นทางไหมเข้า จะงดโดนน้ำ 2 วันเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- หากมีนัดทำฟันให้ทำฟันก่อนมาร้อยไหม เพราะหลังร้อยไหมต้องงดอ้าปากกว้างๆ เพื่อไม่ให้ไหมเคลื่อน
- งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ 1วันก่อนมาร้อยไหม เพราะแอลกอฮอล์เป็นสิ่งกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือด ทำให้เลือดออกง่าย เวลาร้อยไหมจะทำให้เกิดอาการ บวม ช้ำได้
- งดรับประทานวิตามินหรืออาหารเสริมพวก Collagen, Vitamin E, Fish oil, แปะก๊วย, โสม, สมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อน รวมไปถึงยาทานกลุ่ม NSAIDs เช่น aspirin, ibuprofen ประมาณ 7วัน เพราะจะไปกระตุ้นการทำงานของระบบไหลเวียนเลือด จะทำให้ขณะร้อยไหมมีเลือดไหลเยอะ และเกิดอาการเขียว บวม ช้ำ ได้มากกว่าปกติ
- ต้องแจ้งแพทย์ให้ทราบก่อนถ้ามียาที่ทานประจำ เช่น ยาสลายลิ่มเลือด เพราะส่งผลต่อระบบไหลเวียนเลือด ทำให้เกิดเลือดหยุดไหลช้า
- แจ้งประวัติการแพ้ยา เช่น แพ้ยาชาแบบฉีด แพ้ยาชาแบบทา เพื่อเป็นการป้องกันและรับมือสำหรับแพทย์และผู้ช่วยแพทย์ อาการแพ้ยาต่างๆแจ้งแพทย์ให้ทราบก่อนทุกครั้ง
การดูแลหลังทำอย่างไร
การดูแลหลังร้อยไหมเป็นอีกปัจจัยสำคัญเพื่อที่จะทำให้หลังร้อยไหมได้ผลลัพธ์ที่ดี ให้ไหมยกกระชับอยู่ได้นาน และสวยอย่างที่ใจต้องการ
- หลังทำเสร็จประคบเย็นบริเวณที่ร้อยไหมเพื่อลดอาการเขียว บวม ช้ำ ประคบทันทีเยอะๆหลังทำจะช่วยลดบวมได้ไว และประคบบ่อยๆในช่วง 3วันหลังทำ
- แผลบริเวณไหมเข้าตรงขมับจะมีพลาสเตอร์ปิดไว้ให้งดโดนน้ำ 2วัน ส่วนบริเวณอื่นสามารถโดนน้ำได้ พลาสเตอร์ที่ปิดไว้ครบ 2วัน สามารถโดนน้ำได้ปกติ
- งดออกกำลังกายหนักๆ 2-4สัปดาห์ ที่ทำให้ผิวหน้ากระทบกระเทือน เพราะจะทำให้ไหมเคลื่อนได้
- งดโดนความร้อน 4สัปดาห์ เช่น การทำเลเซอร์ อบไอน้ำ อบซาวน่า เพราะจะทำให้ไหมที่ยังไม่เข้าที่ ละลายเร็วเกินไป หน้าจะยกกระชับอยู่ได้ไม่นาน
- งดทำฟันที่ 4สัปดาห์ เพราะการอ้าปากกว้างๆจะทำให้ไหมเคลื่อนได้
- งดแอลกอฮอล์ ของหมักดอง อาหารรสจัด 1-2สัปดาห์ เพื่อไม่ให้หน้าบวม และยังทำให้ผิวหลังร้อยไหมซ่อมแซมได้ช้า
- งดกด นวด คลึง บริเวณใบหน้า 4สัปดาห์ เพราะจะทำให้ไหมในชั้นผิวเคลื่อนได้ และผิวหน้าจะกลับมาหย่อนคล้อยได้
- ควรใส่ผ้ารัดหน้าหลังการร้อยไหมเวลาเกิดการกระทบกระเทือนผิวหน้า ผ้ารัดหน้าจะช่วยพยุงผิวหน้าลดการเคลื่อนในขณะที่ไหมยังไม่เข้าที่ดี
- งดแต่งหน้า 24ชั่วโมง เพราะต้องให้รูเข็มเล็กๆปิดให้สนิทก่อน ลดการติดเชื้อได้ และให้ทาครีมแบบเบามือ ทิศทางลูบขึ้น
- สามารถทานพวกคอลลาเจน วิตามินที่ทานเป็นประจำ น้ำมะพร้าวสด น้ำฟักทอง น้ำใบบัวบก เพื่อให้ผิวหลังร้อยไหมซ่อมแซมได้ไว รอยริ้วไหม คลื่นไหมก็จะหายได้ไว
- รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
การดูแลหลังร้อยไหมมีความสำคัญ เนื่องจากไหมจะเข้าที่ดีประมาณ 4สัปดาห์ ใบหน้าจะได้ยกกระชับ สวยได้นาน
สรุป
การร้อยไหมก้างปลาเป็นที่นิยมอย่างมาก เพราะเห็นผลลัพธ์ในเรื่องของการยกกระชับ หน้าเรียวสวยที่ชัดเจนแบบทันใจ โดยเป็นการใช้ไหมที่มีเงี่ยงมาร้อยเพื่อยกกระชับผิวที่ย่อนคล้อยขึ้น
อีกทั้งยังกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิว ช่วยให้ผิวฟูแน่น ตึงกระชับ ไม่ต้องใช้เวลาในการพักฟื้นนานให้เสียเวลางาน สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ และค่าใช้จ่ายค่อนข้างถูกทำให้ประหยัดเงินในกระเป๋าไปได้เยอะเลยค่ะ
อ่านเพิ่มเติม : ไหมทอร์นาโดหรือไหมก้างปลา