การร้อยไหม เป็นวิธีแก้ไขความหย่อนคล้อยบริเวณใบหน้าและเหนียง ที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากสามารถเห็นผลลัพธ์ว่าผิวดูยกกระชับขึ้นทันทีหลังทำ บวมช้ำน้อย ไม่ต้องพักฟื้นนาน
ไหมที่ใช้ในการยกกระชับมีให้เลือกมากมายและมีความปลอดภัยสูง “ไหมโครงตาข่าย” เป็นไหมนวัตกรรมล่าสุดที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและอยู่ได้นาน ในบทความนี้หมอจะเล่าถึงความพิเศษของไหมโครงตาข่ายที่แตกต่างจากไหมตัวอื่น เทคโนโลยีที่จำเพาะของไหมโครงตาข่าย รวมถึงเทคนิคพิเศษในการร้อยโครงตาข่ายค่ะ
สารบัญ
- ไหมโครงตาข่าย (Tesslift) คืออะไร
- ไหมโครงตาข่าย แตกต่างกับไหมอื่นอย่างไร
- ร้อยไหมโครงตาข่ายแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง
- ร้อยไหมโครงตาข่ายกี่วันเห็นผล
- ขั้นตอนการร้อยไหมโครงตาข่าย
- เทคนิคการร้อยไหมโครงตาข่าย
- ข้อดีของการร้อยไหม Tesslift
- ไหมโครงตาข่าย ราคาเท่าไหร่
- ก่อนร้อยไหมโครงตาข่ายเตรียมตัวอย่างไร
- การดูแลหลังร้อยไหมโครงตาข่าย
- สรุป
- พญ. พิชญ์ญาพร ศิริอุดมเศรษฐ (หมอมิลค์) ของทางPatcha clinic ได้รับเชิญให้เป็นหนึ่งใน Tesslift Certified Trainer Team Thailand หรืออาจารย์ผู้สอนการร้อยไหมโครงตาข่าย ได้ให้ความรู้ และแบ่งปันประสบการณ์การร้อยไหมให้กับแพทย์ท่านอื่นๆ
- Patcha clinic ได้รางวัลด้านการร้อยไหมมาอย่างต่อเนื่อง จากหลากหลายสื่อชั้นนำ รวมถึงได้รับโล่การันตีว่า เป็นหนึ่งในคลินิกที่ใช้ไหมโครงตาข่าย (Tesslift) ที่นำเข้าอย่างถูกต้อง มีความปลอดภัย และมียอดการใช้เป็นอับดับต้นๆ ของประเทศ
ไหมโครงตาข่าย (Tesslift) คืออะไร ?
ไหมโครงตาข่าย (TESSLIFT) เป็นไหมที่มีจุดเด่นแตกต่างจากไหมหลายๆประเภท นอกจากเป็นไหมที่ช่วยยกกระชับได้ดีแล้ว ยังสามารถช่วยกระตุ้นคอลลาเจนทำให้ผิวฟูขึ้นได้ โดยผ่านการรับรองจาก อย.ไทย, CE Mark และ KFDA (อย.เกาหลี)สามารถสลายได้เองมีความปลอดภัยสูง
ผลลัพธ์คงสภาพอยู่ได้ยาวนานถึง 2 ปี เนื่องจากวัสดุมีความแข็งแรง เงี่ยงไหมแบบพิเศษมี 2 ชั้น ด้านนอกจะเป็นลักษณะตาข่าย (Mesh) ล้อมรอบตัวไหม แบบ 360 องศา เพื่อให้กระตุ้นคอลลาเจนใต้ผิวได้ตลอดทั้งเส้นไหม และด้านในเป็นเงี่ยงแบบหล่อมีความแข็งแรงวนรอบตัวเส้นไหม ทำให้ยึดเกาะกับผิวได้แน่น
เปรียบเทียบเหมือนกับการทำหัตถการ 1 อย่าง แต่ได้ผลลัพธ์ 2 อย่างทั้งยกกระชับและกระตุ้นคอลลาเจนใต้ผิวในครั้งเดียว ถือว่าค่อนข้างคุ้มค่า และเป็นไหมที่ปัจจุบันได้รับความนิยมสูงในวงการแพทย์
ไหมโครงตาข่าย แตกต่างจากไหมอื่นอย่างไร ?
- ไหมโครงตาข่าย Tesslift Soft เป็นเส้นใยโครงตาข่าย 360 องศา ทำจากวัสดุ Polydioxanone (PDO) มีความปลอดภัยสูง ไม่มีสารตกค้างในร่างกาย สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ
- ไหมโครงตาข่าย(Tesslift) ผลิตจากวัสดุ Polydioxanone(PDO) สามารถสลายได้เองภายในระยะเวลา 6-8เดือน ไม่มีสารตกค้างในร่างกายเหมือนวัสดุชนิดอื่นๆ มีความปลอดภัยสูง ระคายเคืองผิวน้อยดังนั้นโอกาสในการแพ้น้อยมากค่ะ
- เงี่ยงด้านในของไหมโครงตาข่ายเป็นเงี่ยงแบบหล่อ 3มิติ ล้อมรอบเส้นไหม 360องศา ทำให้เกาะติดกับเนื้อเยื่อได้ดี และด้านนอกเป็นตาข่าย (Mesh) หุ้มรอบเส้นไหมตลอดทั้งเส้น ทำให้เพิ่มพื้นที่ในการยึดเกาะของชั้นผิวกับตัวไหม และกระตุ้นให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นมาเกาะและเจริญเติบโตที่รูของไหมโครงตาข่าย ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการกระตุ้นคอลลาเจนได้มากกว่าไหมทั่วไป ผลลัพธ์จึงอยู่ได้ยาวนาน
- เส้นไหมมีความแข็งแรง และกระตุ้นให้เกิดการยึดของเนื้อเยื่อกับเส้นไหมได้ดี ทำให้มีแรงยึดและแรงตรึงผิวที่แน่น มากกว่าปกติถึง 100 เท่า เมื่อเทียบกับการร้อยไหมแบบเดิม
- มีเทคนิคที่เฉพาะในการร้อย ทำให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน มีผลข้างเคียงหลังทำน้อยและสามารถลดการเกิดรอยริ้วไหมได้ดี
- ลักษณะของไหมออกแบบมาให้แพทย์ผู้ทำการร้อยไหมใช้งานง่าย สะดวก ทำให้เกิดผลลัพธ์หลังการรักษาได้อย่างแม่นยำ
ร้อยไหมโครงตาข่ายแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง ?
การร้อยไหมโครงตาข่าย(Tesslift) เป็นการรักษาหลักสำหรับแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยของผิวให้เกิดความกระชับขึ้น ปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ โดยสามารถแก้ไขได้หลากหลายบริเวณ ดังนี้
- ยกกระชับกระเปาะแก้ม ปรับรูปหน้าวี
- ยกกระชับร่องมุมปาก ร่องแก้ม
- แก้ปัญหาแก้มตอบในคนไข้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยร่วมด้วย
- ยกกระชับเหนียงหย่อนคล้อย
- แก้ปัญหาหนังตาตก ยกคิ้ว
- ยกหางตา เพิ่มความเฉี่ยวให้กับดวงตา
- เสริมดั้งจมูกให้โด่งขึ้น ยกปลายจมูกให้เชิ่ด ลดความกว้างของปีกจมูก
คนไข้บางกลุ่มที่มีปัญหาผิวบาง ไขมันน้อย แก้มตอบ ผิวหย่อนคล้อย การร้อยไหมในคนไข้กลุ่มนี้ค่อนข้างทำได้ยากและเห็นผลน้อยเมื่อทำการร้อยไหม เนื่องจากมีชั้นไขมันที่บางอาจทำให้มีผลข้างเคียงหลังทำได้มาก เช่น รอยรั้งไหม เห็นเส้นไหม หรือทำให้แก้มคนไข้ตอบมากขึ้น แต่ไหมโครงตาข่าย(Tesslift) สามารถใช้ได้ในคนไข้กลุ่มนี้ เนื่องจากนวัตกรรมหลักของไหมคือตัวตาข่าย ที่จะทำให้ผิวเกาะกับไหมตามรูตาข่ายทำให้เวลาดึงไหมจะไม่เกิดริ้วไหมขึ้น รวมถึงเป็นตัวกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนได้มาก ทำให้บริเวณแก้มตอบของคนไข้ดูอิ่มฟูขึ้นได้ค่ะ
ไหมโครงตาข่ายกี่วันเห็นผล ?
หลังจากร้อยไหมโครงตาข่าย(Tesslift) จะสังเกตว่าใบหน้าดูยกกระชับขึ้นทันที และในกรณีของเคสที่มีแก้มตอบ แก้มที่ตอบจะดูตื้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งมีผลวิจัยออกมาแล้วว่าหลังจากที่ได้รับการร้อยไหมโครงตาข่ายประมาณ 1-3 เดือน ผิวหน้าจะแน่นและกระชับมากขึ้นกว่าตอนหลังทำเสร็จ โดยผลลัพธ์นี้จะคงสภาพอยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปี เนื่องจากเป็นผลลัพธ์จากการกระตุ้นคอลลาเจนใต้ผิวจากตัวไหมโครงตาข่ายนั่นเอง
อาการบวมหลังการร้อยไหมโครงตาข่ายสามารถเกิดขึ้นได้ในช่วง 3-7วันแรกหลังทำ และจะมีอาการตึงรั้งใต้ผิวจากการยึดเกาะของไหมกับผิว รวมถึงรอยเขียวช้ำได้ อาการดังกล่าวจะค่อยๆดีขึ้นและหายไปได้เองเมื่อไหมเข้าที่
สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ ร้อยไหมกี่วันเข้าที่
ขั้นตอนการร้อยไหมโครงตาข่าย
- แปะยาชาประมาณ 30 – 45 นาที
- แพทย์ทำการประเมินปัญหารูปหน้าของคนไข้ และดีไซน์แนวการวางไหมบนใบหน้าเฉพาะตามแบบฉบับของไหมโครงตาข่าย (Tesslift)
- ฉีดยาชาบริเวณที่ต้องการร้อยไหม
- ปูผ้า Set sterile เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- เปิดรูเข็มบริเวณที่ต้องการจะใส่ไหม ตรงบริเวณขมับทั้งสองข้าง
- ร้อยไหมเข้าไปใต้ผิวในตำแหน่งที่ที่ต้องการยกกระชับตามที่ดีไซน์ไว้ในตอนแรก
- ถอนเข็มนำไหมออก พร้อมนวดไหมให้แนบติดกับผิวบริเวณนั้น
- ร้อยไหมส่วนที่เหลือเข้าไปในรูของเข็มเดิมและร้อยไปในทิศทางใหม่ที่วางไว้ (Reinsertion technique) เพื่อให้เกิดแรงยกมากที่สุด เท่ากับร้อยไหม 1 เส้น ได้ถึง 2 แนวแรงซึ่งเป็นจุดเด่นของไหมโครงตาข่าย ที่จะเพิ่มความแข็งแรงในการยึดเกาะและการยกกระชับเนื้อเยื่อ
- หลังร้อยไหมครบตามที่ต้องการ จะมีบาดแผลเป็นรอยรูเข็มเล็กๆบริเวณไรผมตามจำนวนของเส้นไหมที่ร้อยในแต่ละด้าน โดยรูเข็มจะปิดเอง
- ทำซ้ำจนครบทุกเส้นตามแนวที่วางไว้ จากนั้นปรับผิวให้ดูเข้าที่และกดให้ผิวยึดเกาะกับแนวโครงตาข่ายให้แน่น เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพในการกระตุ้นคอลลาเจน
เทคนิคการร้อยไหมโครงตาข่าย
การร้อยไหมโครงตาข่าย(Tesslift) มีเทคนิคการร้อยที่เฉพาะแตกต่างจากไหมตัวอื่น ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้จากการร้อยไหมโครงตาข่ายมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ดูเป็นธรรมชาติตั้งแต่หลังร้อยเสร็จ หมอได้รวบรวมเทคนิคพิเศษไว้ดังนี้ค่ะ
1. ไม่มีการตัดไหม
ลักษณะตาข่ายที่หุ้มด้านนอกของไหมโครงตาข่าย จะมีจุดยึดอยู่ที่ปลายไหมทั้งสองข้าง ดังนั้นหากเราตัดไหมเหมือนไหมชนิดอื่นๆจะทำให้ตาข่ายด้านนอกเกิดการเสียสภาพ และผลลัพธ์จากการที่ตาข่ายพยุงผิวจะเสียไป การยกกระชับก็จะเกิดได้ไม่ดี
2. ร้อยไหมแบบใส่ปลายไหมกลับเข้าไปใต้ผิว (Reinsertion)
เมื่อการร้อยไหมโครงตาข่ายไม่สามารถตัดไหมได้ หมอจะใส่ปลายไหมที่เหลือกลับเข้าไปในผิวอีกรอบ วิธีนี้จะทำให้แรงในการยกของไหมเพิ่มขึ้น แข็งแรงขึ้น มีจุดเกาะไหมที่มั่นคง จึงเป็นเหตุผลนึงที่ทำให้ผลลัพธ์ในเรื่องของการยกกระชับอยู่ได้ยาวนานกว่าไหมชนิดอื่นๆ
3.ลดขั้นตอนในการดึงไหมให้ผิวยกขึ้น
ไหมชนิดอื่นๆหากต้องการยกกระชับมากๆ จะดึงไหมด้วยแรงที่มากขึ้น แต่วิธีนี้จะทำให้เงี่ยงไหมเสียสภาพได้ง่าย สำหรับการร้อยไหมโครงตาข่ายใช้วิธีการโกยผิวขึ้นเพื่อย้ายตำแหน่งไขมันขึ้นมาก่อน และค่อยวางไหมไปในตำแหน่งผิวที่ถูกยกแล้ว ดังนั้นเงี่ยงของไหมจะค่อนข้างสมบูรณ์ไม่เสียสภาพเหมือนวิธีทั่วไป
4.นวดคลึงไหมหลังใส่ไปใต้ผิว
หลังร้อยไหมเสร็จจะมีการนวดผิวให้แนบกับไหมให้ได้มากที่สุด เพื่อให้การยึดเกาะแน่นขึ้นและในอนาคตการสร้างคอลลาเจนจะได้เกิดได้ตลอดตามแนวเส้นไหม
ข้อดีของการร้อยไหม Tesslift
- ตัววัสดุเป็น POLYDIOXANONE สามารถสลายได้ตามธรรมชาติ มีความปลอดภัย และไม่มีสารตกค้างใต้ชั้นผิว
- ไหมจะช่วยในการพยุงผิวหน้า เกี่ยวรั้งผิวหนังของเรา พร้อมเห็นผลยกกระชับทันทีหลังการร้อย และยังมีการสร้างคอลลาเจนอย่างรวดเร็วภายหลังการร้อยไหมโครงตาข่าย
- ไหมโครงตาข่าย มีผลในการยกกระชับผิวระยะยาว กระตุ้นให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อในรูของไหมโครงตาข่าย จึงทำให้เกิดแรงยึดและแรงตรึงที่แข็งแรงกว่าไหมชนิดอื่นๆ ทำให้มีประสิทธิภาพในการยกกระชับมากกว่าไหมตัวอื่นๆหลายเท่า
- หากเปรียบเทียบกับไหมตัวอื่นยิ่งระยะเวลาผ่านไปไหมจะค่อยๆตกลง แต่ตัวไหมโครงตาข่ายจะค่อยๆกระชับขึ้นเรื่อยๆ หากตัวไหมสลายแล้วยังคงมีแนวคอลลาเจนใต้ชั้นผิว ช่วยพยุงผิวทำให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานกว่าไหมทั่วไป
- ไม่ต้องผ่าตัด ใช้เวลาเพียง 30-60 นาที
- อุปกรณ์ในการร้อยไหมโครงตาข่ายออกแบบมาให้มีการใช้งานง่าย สะดวก ลดการบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อใต้ชั้นผิว ทำให้บวมช้ำน้อยและไม่ต้องพักฟื้นนาน
ไหมโครงตาข่ายราคาเท่าไหร่ ?
ราคาของไหมโครงตาข่าย (Tesslift) ในแต่ละคลินิกมีราคาที่แตกต่างกันไป จะขึ้นอยู่กับจำนวนของเส้นไหมที่ใช้ รวมถึงเทคนิคการร้อยและประสบการณ์ของแพทย์ โดยทางพัชชาคลินิกมีการจัดโปรโมชันไหมโครงตาข่าย โดยราคาจะแตกต่างกันไปตามจำนวนของเส้นไหม
สามารถดูราคาเพิ่มเติมได้ที่ : ราคาร้อยไหมโครงตาข่าย (TESSLIFT)
ก่อนร้อยไหมโครงตาข่ายเตรียมตัวอย่างไร ?
- งดรับประทานวิตามินและอาหารเสริมต่างๆ เช่น วิตามิน E, Collagen ใบแปะก๊วย น้ำมันตับปลา ก่อนร้อยไหมประมาณ 3 – 7 วัน
- งดกลุ่มยาจำพวกแอสไพรินและยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs ในช่วงก่อนฉีด 7 วัน เนื่องจากส่งผลต่อระบบไหลเวียนเลือดทำให้เกิดเลือดหยุดช้า
- สระผมก่อนที่จะมาร้อยไหมเพราะบริเวณขมับจะเป็นทางไหมเข้าจะมีพลาสเตอร์ปิดแผลไว้ให้งดโดนน้ำ 2 วัน
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนมาร้อยไหม 1 วัน เพราะแอลกอฮอล์เป็นสิ่งกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือดทำให้เลือดออกง่ายเวลาร้อยไหม อาจเกิดอาการบวมช้ำได้
- หากมีนัดทำฟัน ให้ทำฟันก่อนมาร้อยไหมเพราะหลังร้อยไหมต้องงดอ้าปากกว้างๆเพื่อไม่ให้ไหมเคลื่อน
- แจ้งประวัติการแพ้ยาเช่น แพ้ยาชาแบบฉีด แพ้ยาชาแบบทา หากมีอาการแพ้ยาต่างๆ จะต้องแจ้งแพทย์ให้ทราบก่อนทุกครั้ง
การดูแลหลังร้อยไหมโครงตาข่าย
ไหมโครงตาข่าย(Tesslift) เป็นไหมที่เน้นแรงในการยึดเกาะกับเนื้อเยื่อใต้ผิวให้แน่นที่สุด ดังนั้นหลังร้อยไหมคนไข้จะมีอาการตึงและระบมใต้ผิวได้มากกว่าไหมอื่นๆในช่วง 3-7วันแรก แต่อาการบวมจะไม่เยอะมากเนื่องจากไหมถูกออกแบบมาอย่างดีทำให้เนื้อเยื่อบาดเจ็บจากเข็มน้อย
ช่วงเวลาหลังร้อยไหมก็มีส่วนสำคัญในการทำให้ผลลัพธ์ของการร้อยไหมเป็นไปในทิศทางที่ดี หมอขอแนะนำวิธีการดูแลหลังร้อยไหมโครงตาข่ายดังนี้
- ประคบเย็น หรือ ประคบน้ำแข็งตามแนวการร้อยไหม 3วันแรก
- รูแผลไหมเข้างดโดนน้ำ ครีม เครื่องสำอาง 2วัน
- ใส่ผ้ารัดหน้าเพื่อประคองไหมและผิวให้แนบติดกับ และช่วยลดการเคลื่อนของเส้นไหมช่วง 2-4สัปดาห์แรก
- งดการขยับใบหน้าแรงๆ กดนวดคลึงใบหน้า 4สัปดาห์
- งดของหมักดอง แอลกอฮอล์ อาหารรสจัด 2สัปดาห์
- ทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
- สังเกตอาการตัวเองหลังร้อยไหม หากมีความผิดปกติ เช่น มีอาการบวมหรือเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป, ผิวแดงขึ้นสัมผัสแล้วอุ่นๆ หรือ ยังคงมาอาการชา ปากเบี้ยวแม้ยาชาหมดฤทธิ์แล้ว เป็นต้น หากพบอาการดังกล่าวให้ติดต่อเพื่อพบแพทย์ผู้ทำการรักษาทันที
สรุป
ไหมโครงตาข่ายมีความพิเศษที่ลักษณะของตัวเงี่ยงสองชั้น ถูกออกแบบมาเพื่อให้เกิดการกระตุ้นคอลลาเจนได้ดี ยึดเกาะกับผิวได้แน่น และยกกระชับผิวได้ยาวนานกว่าไหมแบบเดิมๆ
นอกจากนั้นเทคนิคการร้อยก็มีความแตกต่างกับไหมทั่วไป โดยการใส่ไหมหนึ่งเส้นจะได้แรงดึงถึงสองแนวเนื่องจากไม่มีการตัดไหม แต่ใส่ไหมส่วนปลายกลับเข้าไปใต้ผิวเพื่อสร้างแนวแรงดึงที่เพิ่มขึ้น
ดังนั้นคนไข้ท่านใดที่มองหาผลลัพธ์ในเรื่องของการยกกระชับที่ดี เน้นการกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิว ใช้เวลาพักฟื้นไม่นาน “ไหมโครงตาข่าย” ค่อนข้างตอบโจทย์เลยค่ะ