มีปัญหารอยสิวที่ทำให้กังวลใจ อยากรักษารอยสิวให้หายไม่รู้จะทำอย่างไร ต้องคอยปกปิดรอยสิวอยู่บ่อยๆ ในบทความนี้หมอได้รวบรวมวิธีรักษารอยสิวให้หายไปจากผิวมาให้ด้วยกันถึง 5 วิธี และยังมีวิธีป้องกันการเกิดรอยสิวมาให้ทุกคนด้วยค่ะ
รักษารอยสิวด้วยเลเซอร์
เลเซอร์สามารถรักษารอยสิวให้ดูจางลง รอยสิวตื้นขึ้นเรื่อยๆ จนผิวกลับมาดูเรียบเนียน หน้าใสไร้รอยสิว โดยเลเซอร์ที่สามารถรักษารอยสิวได้มีดังนี้
-
IPL
เป็นเครื่องเลเซอร์ที่ใช้คลื่นแสงในการรักษาซึ่งเครื่อง IPL โดยจะมีความยาวคลื่นหลากหลายตั้งแต่ 400 – 1200 นาโนเมตร สามารถใช้แก้ปัญหารักษาได้หลายๆ อย่างไม่ว่าจะเป็น กำจัดขน รักษารอยสิวทั้งรอยดำ รอยแดงให้จางลง และช่วยรักษาหลุมสิวได้แต่ใช้รักษาเฉพาะหลุมสิวที่ไม่ลึกมากแบบหลุมสิว Rolling Scar ได้เท่านั้น ควรทำอย่างน้อยเดือนละครั้งติดต่อกันประมาณ 4 เดือนขึ้นไปผลลัพธ์จะชัดเจน รอยสิวก็จะลดลง
-
Picosecond Laser
เป็นเครื่องเลเซอร์ที่ใช้คลื่นแสงในการรักษา โดยจะมีความยาวคลื่นทั้งหมด 3 แบบคือ 532, 755, 1064 นาโนเมตร ซึ่งแต่ละคลื่นจะใช้รักษาปัญหาไม่เหมือนกัน สามารถรักษาปัญหาผิวได้หลายอย่างทั้งรักษารอยสิวแบบรอยดำ รอยแดงให้จางลง รักษารอยสิวแบบหลุมสิวได้ทุกประเภทตั้งแต่หลุมสิวตื้น จนไปถึงหลุมสิวที่ลึกรักษาได้ยาก และสามารถยังลบรอยสักที่ไม่ต้องการได้ด้วย
-
Fractional Laser
เป็นเครื่องเลเซอร์ที่มีที่ปล่อยคลื่นพลังงานออกไปได้ขนาดเล็กมากๆ โดยมีความยาวคลื่นอยู่ที่ 10600 นาโนเมตร สามารถใช้รักษารอยสิวแบบหลุมสิวได้ทุกประเภททั้ง Rolling Scar, Box Scar, Ice Pick Scar ช่วยทำให้ผิวกับมาเรียบเนียนเหมือนเดิม
แต่หลังจากทำเลเซอร์รักษาหลุมสิว รักษารอยสิวไปแล้ว ผิวจะค่อนข้างบอบบาง และไวต่อแดดมากในช่วงเวลาหนึ่งจึงควรหมั่นทากันแดดทุกวัน ป้องกันไม่ให้ผิวโดนแดด เพราะผิวอาจไหม้ สีผิวคล้ำขึ้นได้ง่ายกว่าปกติค่ะ
ฉีดเมโสหน้าใสแก้รอยสิว
เมโสหน้าใสสามารถช่วยลดรอยสิวอย่างรอยดำ รอยแดงบนหน้าให้จางลงเรื่อยๆ จนผิวหน้ากลับมาใส ไร้รอยสิวได้ เนื่องจากส่วนผสมของเมโสหน้าใสมีวิตามินหลายๆ ตัวที่มีประโยชน์ช่วยลดรอย ลดสิวได้ไม่ว่าจะเป็นวิตามินซี วิตามินอี วิตามินเอ คอลลาเจน กลูต้าไธโอน และยังมีวิตามินอื่นๆ อีกมาก เมื่อฉีดเข้าไปที่ผิวก็จะช่วยลดการอักเสบ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดรอยสิว ลดการเกิดสิว ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น
เนื่องจากเมโสหน้าใสเป็นการฉีดเข้าสู่ผิวโดยตรงจึงจะเห็นผลได้ค่อนข้างไวภายใน 1 – 2 สัปดาห์หลังจากที่ฉีดเมโสหน้าใส แต่ควรที่จะฉีดต่อเนื่องกันประมาณสัปดาห์ละครั้งในช่วงแรกประมาณ 4 – 6 ครั้ง เพื่อให้ผลลัพธ์คงที่ จากนั้นค่อยเปลี่ยนมาฉีดอย่างน้อย 2 – 3 สัปดาห์ต่อครั้งได้ค่ะ
ทาครีมลดรอยสิว
มีครีมอยู่หลายชนิดที่สามารถลดรอยสิว รอยดำ รอยแดง โดยครีมที่สามารถลดรอยสิวได้มักจะมีส่วนผสมดังนี้
-
วิตามินซี
เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เพิ่มการสร้างคอลลาเจนในผิว ลดการผลิตเม็ดสีของเมลานินทำให้ผิวดูกระจ่างใสรอยสิวอย่างรอยดำ รอยแดงจางลง
-
Niacinamide
เป็นวิตามินบี 3 สามารถพบได้ในเนื้อสัตว์ทั้งสัตว์ปีก ปลา และถั่ว สามารถช่วยหลายๆ อย่างเกี่ยวกับผิวได้ เช่น ลดความมันของผิวให้น้อยลง ลดสิว ลดรอยดำจากสิวให้จางลด ลดรอยแดง อาการอักเสบระคายเคืองบนผิว
-
Arbutin
เป็นสารสกัดธรรมชาติที่พบได้จากผลไม้ในตระกูลเบอร์รี และยังสามารถพบได้ในข้าวสาลี มะขามป้อม สารนี้มีความอ่อนโยนสามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว ยับยั้งการสร้างเม็ดสีของเมลานิน ทำให้ผิวสม่ำเสมอ ลดจุดด่างดำ ลดรอยสิว และยังสามารถช่วยป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงแดดได้
-
Azelaic Acid
เป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่พบได้ในธัญพืชเช่นข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวไรย์ ช่วยลดการเกิดสิวในอนาคต ต้านอนุมูลอิสระได้ดีทำให้รอยดำ รอยแดงลดลงได้ และยังใช้กับทุกสภาพผิว คนที่ผิวแพ้ง่ายบอบบาง หรือสตรีมีครรภ์สามารถใช้ได้เพราะสารชนิดนี้อ่อนโยนมาก มีความปลอดภัยสูง
-
Kojic Acid
เป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่ได้มาจากเชื้อราจากเห็ดรา หรือการหมักเหล้า โดยสารชนิดนี้สามารถช่วยลดรอยสิว รอยดำ รอยแดง ยับยั้งเมลานินไม่ให้ผลิตเม็ดสีเพิ่มมากขึ้น แต่เมื่อใช้สารชนิดนี้ควรทาครีมกันแดดอย่างเป็นประจำในทุกวันๆ เพราะสามารถทำให้ผิวแพ้แสงได้ง่ายกว่าเดิม
ผลัดเซลล์ผิวลดรอยสิว
การผลัดเซลล์ผิวเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยลดรอยสิวได้โดยการผลัดเซลล์ผิวนั้นจะกำจัดเซลล์ผิวชั้นนอกออกไปจากนั้นรอยสิวก็จะดูจางลง ซึ่งการผลัดเซลล์ผิวนั้นมีหลายวิธีทั้งการสครับผิวโดยใช้สครับน้ำตาล สครับเกลือ
และยังมีสารผลัดเซลล์ผิวเช่น AHA, Retinol, วิตามินซี รักษารอยสิวให้ไป และสารผลัดเซลล์ผิวยังสามารถช่วยรักษารอยสิวสำหรับประเภทรอยสิวแบบหลุมสิว ช่วยให้หลุมสิวตื้นขึ้นแต่จะช่วยได้เฉพาะหลุมสิว Rolling Scar ที่เป็นหลุมสิวแบบตื้นไม่ลึกมาก
ถึงแม้การผลัดเซลล์ผิวจะช่วยลดรอยสิวได้ แต่ไม่ควรผลัดเซลล์ผิวบ่อยๆ สครับหน้า หรือใช้สารผลัดเซลล์ผิวเพียงแค่ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ก็เพียงพอแล้วที่จะช่วยให้รอยสิวค่อยๆ ลงลด ถ้าผลัดเซลล์ผิวมากเกินไปจะทำให้ผิวแห้ง ผิวลอก และผิวเกิดการแพ้ได้ง่ายมากขึ้นค่ะ
Subcision รักษารอยสิว
เป็นวิธีรักษารอยสิวแบบหลุมสิวโดยวิธีนี้จะใช้เข็มขนาดเล็กสอดเข้าไปในผิวหนังตัดเลาะพังผืดหลุมสิวใต้ผิวหนังออก ทำให้เกิดช่องว่างในหลุมสิวร่างกายจะซ่อมแซมผิว สร้างคอลลาเจนทำให้หลุมสิวเรียบเนียนขึ้น เหมาะสำหรับหลุมสิวแบบ Rolling Scar, Box Scar โดยหลังจากทำจะเห็นผลลัพธ์ว่าหลุมสิวตื้นขึ้นเล็กน้อย ควรทำครั้งละ 1 เดือนติดต่อกัน 3 ครั้งขึ้นไปถึงจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจน แต่วิธีนี้อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงอย่างอาการบวม อาการช้ำได้
วิธีป้องกันการเกิดรอยสิว
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดรอยสิวขึ้นมาบนผิวควรที่จะรู้ว่าต้องป้องกันอย่างไร โดยมีวิธีป้องกันการเกิดของรอยสิวดังนี้
-
หยุดบีบสิว
เมื่อบีบสิว หรือแกะสิวจะทำให้เกิดรอยสิวต่างๆ ได้ง่ายขึ้น และยังกระตุ้นให้ผิวอักเสบมากขึ้นจนเกิดเป็นรอยสิวรุนแรงอย่างหลุมสิวที่รักษาให้หายได้ยาก หากไม่อยากมีปัญหารอยสิวควรหยุดแกะสิว บีบสิวค่ะ
-
รักษาสิวให้ถูกวิธี
หากรักษาสิวผิดวิธีไม่เหมาะสมกับประเภทสิวที่ขึ้นมาบนผิว นอกจากสิวจะไม่หายแล้วยังสามารถทำให้สิวรุนแรง เกิดการอักเสบมากขึ้นกว่าเดิมได้ และเกิดเป็นรอยสิวตามมา จึงควรรู้วิธีรักษาสิวอย่างถูกต้องเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดรอยสิว
-
ทาครีมกันแดด
ควรทาครีมกันแดดทุกวัน เพราะแสงแดดสามารถทำกระตุ้นให้ในจุดที่ร่างกายกำลังรักษาสิว สมานแผลเกิดรอยดำ หรือรอยแดงขึ้นมาได้ และยังกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานินทำให้รอยสิวมีสีเข้มขึ้นมากกว่าเดิมได้
สรุป
วิธีรักษารอยสิวมีด้วยกันอยู่หลายวิธี แต่ละวิธีก็จะสามารถรักษารอยสิวแต่ละแบบได้ไม่เหมือนกัน บางวิธีสามารถรักษารอยสิวชนิดหนึ่งได้เช่นสามารถรักษารอยดำ รอยแดงได้ แต่ไม่รอยสิวแบบหลุมสิวได้จึงควรรู้ว่ารอยสิวที่เป็นอยู่คือรอยสิวแบบไหนและเลือกรักษารอยสิวให้ถูกวิธีค่ะ