ไหมที่น่าสนใจในตอนนี้และหลายคนอาจคุ้นชื่อกันมาแล้ว นั่นก็คือการร้อยไหมอิตาลี ซึ่งไหมอิตาลีมีความพิเศษแตกต่างจากการร้อยไหมแบบอื่นอย่างไร ข้อดีของไหมมีอะไรบ้าง ในบทความนี้เราจะมาทำความรู้จักกับไหมอิตาลีกันให้มากขึ้นค่ะ
ร้อยไหมอิตาลี คืออะไร ?
ไหมอิตาลี(Definisse Thread) คือ ไหมจากประเทศอิตาลี ที่ใช้ในการยกกระชับผิวหย่อนคล้อยไม่ว่าจะเป็นบริเวณใบหน้า หางตา คิ้ว หรือ เหนียง และยังกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวบริเวณนั้น ทำให้ผิวเกิดความกระชับมากยิ่งขึ้น

ไหม Definisse เป็นไหมมีเงี่ยงสำหรับยึดเกาะกับเนื้อเยื่อใต้ผิว และวัสดุของไหมสามารถละลายได้หมด 100% ไม่ตกค้างในร่างกาย ลักษณะของเงี่ยงไหมและเส้นไหมออกแบบมาพิเศษทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้ไหมอิตาลีจำนวนมากในการแก้ไขปัญหาความหย่อนคล้อย
ไหมอิตาลีได้รับการรับรองมาตรฐานในเรื่องของการยกกระชับและความปลอดภัยในเรื่องการผลิตจากสหภาพยุโรป (CE Mark) และ องค์การอาหารและยาไทย (THFDA) ดังนั้นมั่นใจได้เลยในเรื่องของคุณภาพความปลอดภัย
จุดเด่นของการร้อยไหมอิตาลี
ไหมอิตาลี(ไหม Definisse) มีจุดเด่นมากมายจึงทำให้เป็นไหมที่นิยมในหลากหลายประเทศทั่วโลก ดังนี้
- ทำจากวัสดุ Poly-L-lactic acid and caprolactone; p(LA-CL) สามารถสลายได้เองไม่ตกค้าง วัสดุมีความยืดหยุ่นสูงไม่เปราะหักง่าย
- เงี่ยงไหมเป็นแบบ 3มิติ เงี่ยงสองทิศทาง (Bidirectional Thread) ยึดเกาะกับเนื้อเยื่อใต้ผิวได้แน่น ไม่หลุดง่าย
- ให้ผลลัพธ์แบบ Double Action คือยกกระชับทันทีหลังทำ และกระตุ้นคอลลาเจนใต้ผิวเพื่อเพิ่มความกระชับของผิวมากยิ่งขึ้น
- ลักษณะเข็มปลายแหลมที่ออกแบบมาอย่างดี ให้เนื้อเยื่อใต้ผิวบอบช้ำน้อย ไม่ต้องพักฟื้นนาน

รีวิวร้อยไหมอิตาลียกกระชับกรอบหน้าชัด แก้ไขมุมปาก ให้ใบหน้าเข้ารูปยิ่งขึ้น
ไหมอิตาลีมีกี่แบบ
ไหมอิตาลีมีอยู่ด้วยกัน 3 แบบ ซึ่งในแต่ละแบบมีลักษณะและจุดเด่นที่แตกต่างกัน ดังนี้
1. Definisse free floating threads

- ผลิตจากวัสดุ p(LA-CL)
- เงี่ยงไหมมีลักษณะเป็นเงี่ยงสองทิศทางหันเข้าหากัน (Bidirectional and Convergent Thread)
- ลักษณะเด่นคือ ตัวไหมจะแยกกับเข็ม เวลาร้อยต้องทำการสอดไหมเข้าไปในเข็มนำ
- ใช้สำหรับยกกระชับบริเวณหน้าแก้ม ร่องแก้ม และ เหนียง
- เป็นไหมเข็มปลายทู่ขนาดเข็มเบอร์ 19/20G
- เส้นไหมขนาด USP 2-0 ยาว 12 cm

ลักษณะเส้นไหมของ Definisse free floating threads
2. Definisse double needle threads

- ผลิตจากวัสดุ p(LA-CL)
- เงี่ยงไหมมีลักษณะเป็นเงี่ยงสองทิศทางหันเข้าหากัน (Bidirectional and Convergent Thread)
- ใช้สำหรับร้อยบริเวณแก้ม กรอบหน้า หางคิ้ว หางตา เหนียง คอ
- เป็นไหมเข็มปลายแหลมแบบพิเศษ (Triangular needle) สองด้าน ขนาดเข็มเบอร์ 21 G
- เส้นไหมขนาด USP 2-0 มีความยาว 2ขนาด 12 cm และ 23 cm

ลักษณะเส้นไหมของ Definisse double needle threads
3. Definisse ancorage threads

- ผลิตจากวัสดุ p(LA-CL)
- เงี่ยงไหมมีลักษณะเป็นเงี่ยงทิศทางเดียว (Unidirectional thread)
- มีลักษณะเด่น คือเวลาร้อยจะเปิดไหมเข้าจากหนังศีรษะ ยึดเกาะได้แน่น และมีเทคนิคการร้อยที่จำเพาะและซับซ้อนกว่าตัวอื่น
- เหมาะสำหรับใช้ร้อยบริเวณใบหน้า
- เส้นไหมขนาด USP2-0 มีความยาว 6 cm
- ไหมมีเข็มสองด้าน ด้านหนึ่งเป็นเข็มปลายแหลมยาวตรง ส่วนอีกด้านเป็นเข็มปลายแหลมครึ่งวงกลม

ลักษณะเส้นไหมของ Definisse ancorage threads
ไหมอิตาลีต่างจากไหมชนิดอื่นอย่างไร ?
วัสดุที่ใช้ในการผลิต
ส่วนใหญ่เราจะเห็นไหมที่ทำมาจากวัสดุ PDO กันใช่ไหมคะ แต่สิ่งที่ทำให้ไหมอิตาลีแตกต่างจากตัวอื่นคือ เป็นไหมที่ผลิตจากโคโพลิเมอร์ P(LA-CL) ที่ผสมผสานกันระหว่าง PLLA กับ PCL
วัสดุ PLLA มีความแข็งแรง อยู่ได้นาน กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ดี ข้อเสียคือขาดความยืดหยุ่น เปราะง่าย
วัสดุ PCL มีความยืดหยุ่นค่อนข้างสูง ช่วยลดปัญหาการขาดของเส้นไหม
ซึ่งเมื่อนำข้อดีของทั้งสองมาผสมผสานกัน เราจะได้เส้นไหมที่มีความแข็งแรงเป็นสองเท่า มีความยืดหยุ่นสูง ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและยกกระชับได้นานค่ะ

ลักษณะของเงี่ยงไหม
เงี่ยงไหมได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษ เป็นเงี่ยงแบบ 3 มิติ มีสองทิศทางหันเข้าหากัน (Bidirectional and convergent barbed threads) ยกกระชับได้ดีมากขึ้น และยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใต้ชั้นผิวทำให้ผิวฟู เต่งตึง กระจ่างใส
เมื่อไหมเข้าไปใต้ผิวเงี่ยงไหมจะสามารถกางออกเหมือนร่มยึดเกาะผิว ดึงยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยขึ้นมา โดยมีขั้นตอนยกกระชับผิว 2 ขั้นตอนคือ
- Lifting action เงี่ยงของไหมเกี่ยวผิวขึ้นส่งผลให้เห็นผลในเรื่องของการยกกระชับทันทีหลังทำเสร็จ
- Revitalising action ไหมกระตุ้นให้ผิวบริเวณรอบๆเกิดการสร้างคอลลาเจน ส่งผลให้ผิวดูกระชับขึ้นหลังจากนั้น

ร้อยไหมอิตาลีเหมาะกับใคร ?

การร้อยไหมอิตาลีจะเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาและความต้องการดังนี้
- ผู้ที่มีอายุ 30-60 ปี หรือผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อยในระดับน้อย-ปานกลาง
- มีปัญหาแก้มตอบ ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก กระเปาะแก้มหย่อนคล้อย
- ผู้ที่มีผิวปกติถึงหนา หรือผู้ที่มีชั้นไขมันใต้ผิวหนังหนา
- มีปัญหาหนังตา หางตา หางคิ้วตก
- ไม่อยากมีอาการบวมช้ำมากหลังทำ
- ต้องการเห็นผลลัพธ์การยกกระชับทันทีหลังทำ
ข้อดีของการร้อยไหมอิตาลี

- ได้รับรองจากอย. ไทย ทำให้มั่นใจได้ในเรื่องของมาตรฐานและความปลอดภัย
- สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ ไม่ตกค้างในร่างกาย
- ใช้ไหมเพียงข้างละ 1-2 เส้น ทำให้เจ็บไม่มาก และมีโอกาสเกิดความระบม บวมช้ำได้น้อย
- มีเทคนิคการร้อยเฉพาะ ยกกระชับผิวหย่อนคล้อยได้ดี
- เห็นผลลัพธ์ที่ยกกระชับขึ้นได้ทันทีหลังทำ และจะเห็นผลลัพธ์เต็มที่เมื่อไหมเข้าที่
- ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน กรดไฮยาลูโรนิค และอีลาสตินใต้ชั้นผิวอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผิวเต่งตึง ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น
- ใช้เวลาในการทำหัตการไม่นาน และไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน
ร้อยไหมอิตาลีอยู่ได้นานแค่ไหน ?
หลังร้อยไหมอิตาลีจะสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันที และจะยกกระชับได้นานถึง 12-18 เดือน โดยหลังจากไหมเริ่มละลายไปหมดแล้ว จะยังคงเหลือการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่เกิดจากการเกี่ยวรั้งของไหมทำให้เกิดพังผืดใต้ชั้นผิว
ทั้งนี้จะอยู่ได้นานแค่ไหนก็ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น สภาพผิว การดูแลหลังทำและการใช้ชีวิตประจำวันของแต่ละคนด้วยค่ะ โดยสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ วิธีดูแลหลังร้อยไหม
ร้อยไหมอิตาลีราคา

ร้อยไหมอิตาลี 2 เส้น ราคา 40,000 บาท
ร้อยไหมอิตาลี 4 เส้น ราคา 70,000 บาท
( จากราคาปกติเส้นละ 30,000 บาท )
สรุป
การร้อยไหมอิตาลีหรือไหม Definisse เป็นนวัตกรรมยกกระชับโดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผลใหญ่ ไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน โดยไหมอิตาลีเป็นหนึ่งในไหมที่น่าสนใจอย่างมาก ได้รับรองมาตรฐานจากทั้งไทยและสากล มีความปลอดภัยสูง
ไหมมีการออกแบบมาพิเศษช่วยยกกระชับผิวหย่อนคล้อย ปรับรูปหน้า กระตุ้นคอลลาเจนได้ดี อยู่ได้ค่อนข้างนาน ใช้จำนวนเส้นไหมไม่มากก็เห็นผลลัพธ์ได้ ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการร้อยไหมเพื่อประเมินถึงปัญหาและการรักษาที่เหมาะสมในแต่ละบุคคล
