สิ่งหนึ่งที่ทำให้ใบหน้าดูมีอายุมากกว่าความเป็นจริง หมอเชื่อว่าหนึ่งในนั้นคือถุงใต้ตา หากใครที่กำลังมีปัญหาถุงใต้ตาจะทราบดีว่าเป็นสิ่งที่กังวลใจขนาดไหน แต่งหน้าก็ไม่สามารถปกปิดได้ ซึ่งในบทความนี้หมอจะเขียนถึงสิ่งที่สามารถทำให้เกิดปัญหาถุงใต้ตาว่าคืออะไร และเราควรจะแก้ไขอย่างไรให้เหมาะสมกับถุงใต้ตาที่มี เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีในแต่ละบุคคลค่ะ
ถุงใต้ตาคืออะไร ?
หนึ่งในสิ่งที่จะบ่งบอกถึงความมีอายุบนใบหน้าตามวัยของเราได้อย่างชัดคือ “ถุงใต้ตา” (Bags under eyes) โดยจะเห็นเป็นลักษณะถุงของผิวหนังอยู่บริเวณใต้ตา ทำให้บริเวณใต้ตาดูบวม เป็นร่อง และมีสีคล้ำเห็นเป็นเงาใต้ตา ถุงใต้ตาเป็นสิ่งจำเพาะที่สามารถพบได้ในหลายคนที่ใบหน้าเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงตามช่วงวัยทั้งในเพศชายและเพศหญิง
เมื่ออายุมากขึ้นเนื้อเยื่อรอบตามีความอ่อนแรงลง ทั้งในส่วนของกล้ามเนื้อที่คอยพยุงเปลือกตาล่าง รวมไปถึงไขมันใต้ตาด้านในที่คอยซัพพอร์ตใต้ตาไหลออกมาที่ผิวด้านนอกเห็นเป็นถุงใต้ตาที่ดูบวม ซึ่งนี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาถุงใต้ตา

โดยปกติแล้วผู้ที่มีถุงใต้ตาไม่ได้ถือว่าเป็นอันตรายเกี่ยวกับโรคหรือความเจ็บป่วยทางกายใดๆ เพียงแต่เป็นในเรื่องของความไม่สวยงามมากกว่าค่ะ เราสามารถสังเกตได้ในระยะต้นๆ ว่าหากเริ่มมีลักษณะแบบนี้ เราอาจกำลังมีลักษณะของถุงใต้ตาในระยะเริ่มต้นเกิดขึ้น
- ผิวหนังบริเวณใต้ตาเริ่มขาดความยืดหยุ่น เห็นเป็นริ้วรอย หย่อนคล้อย ขาดความกระชับ
- มีลักษณะใต้ตาดำที่เป็นมานานและคงอยู่ตลอดไม่ดีขึ้นจากการทาครีมหรือบำรุงอื่นๆ
- ใต้ตามีความบวม
ถุงใต้ตาเกิดจากอะไร ?
ถุงใต้ตาเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ส่วนมากผู้ที่มีถุงใต้ตาจะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงตามวัยของใบหน้าเมื่ออายุมากขึ้น โดยเริ่มจากไขมันบริเวณใต้ตาชั้นลึก หน้าแก้มฝ่อตัวลง
ตามปกติแล้วบนใบหน้าเรามีไขมันสะสมอยู่ทั่วไป แต่เมื่ออายุมากขึ้นไขมันจะเริ่มมีการสลายตัว ฝ่อตัวลงตามธรรมชาติ และเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในบริเวณหน้าแก้มเมื่อเทียบกับบริเวณอื่นๆ ของใบหน้า

นอกจากนั้นแนวเส้นเอ็นที่คอยพยุงไขมันใต้ตารอบขอบกระดูกเบ้าตาอ่อนแรงลงเมื่ออายุมากขึ้น ทำให้ไขมันที่อยู่ด้านหลังแนวเส้นเอ็นนี้เริ่มไหลและเคลื่อนตัวออกมาด้านนอก เห็นเป็นถุงใต้ตาบวมๆ อยู่บริเวณใต้ตา

ดังนั้นถุงใต้ตาที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของใบหน้าตามวัย มีสาเหตุร่วมกันของความหย่อนคล้อยของผิวหนังบริเวณใต้ตา (skin laxity) และการเคลื่อนตัวออกมาด้านนอกของไขมันใต้ตา (fat herniation) ทำให้เห็นเป็นลักษณะถุงใต้ตาบวม หย่อนคล้อย ใต้ตาคล้ำ หรือเป็นเงาลึกบริเวณใต้ตา
ส่วนสาเหตุอื่นๆ ที่ส่งผลให้เกิดถุงใต้ตานอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังตามช่วงวัย ได้แก่
- การสะสมของของเหลวบริเวณใต้ตา พบได้บ่อยช่วงหลังตื่นนอนในตอนเช้า หรือหลังจากที่รับประทานอาหารที่มีรสเค็มจัด ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
- โรคภูมิแพ้ มีการขยายตัวของเส้นเลือดดำบริเวณใต้ตาทำให้เกิดการคลั่งของเลือดบริเวณใต้ตา
- นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ
- กรรมพันธุ์ พบได้ในผู้ที่มีประวัติครอบครัวมีถุงใต้ตา
ถุงใต้ตามีกี่แบบ ?
ระยะของถุงใต้ตามีทั้งหมด 3 แบบ โดยในแต่ละแบบจะมีลักษณะและการรักษาที่เหมาะสมแตกต่างกัน
Type 1 – เป็นระยะแรกของถุงใต้ตา (Mild stage) ในระยะนี้มีการสะสมของถุงใต้ตาในระดับน้อย เวลามองอาจไม่ได้สังเกตเห็นถุงใต้ตาได้อย่างชัดเจน โดยจะสังเกตเห็นได้เมื่อให้คนไข้มองขึ้นบนแล้วจะเห็นถุงใต้ตาบวมอยู่นิดหน่อย

Type 2 – ในระยะที่สอง (Moderate stage) สามารถสังเกตเห็นถุงใต้ตาชัดเจนในระยะที่คนไข้มองตรง ใบหน้าอยู่ในระดับปกติ โดยลักษณะของไขมันใต้ตาที่หย่อนตัวลงจะเห็นเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของขอบเขตถุงใต้ตาทั้งหมดดังรูป โดยลักษณะของถุงใต้ตาในระยะนี้สามารถทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้าได้

Type 3 – ในระยะที่สาม (Severe stage) สามารถสังเกตเห็นลักษณะของไขมันใต้ตาจำนวนมากที่หย่อนออกมาทั่วทั้งบริเวณในตำแหน่งของถุงใต้ตาดังรูป ความหย่อนคล้อยของผิวหนังใต้ตามีความหย่อนคล้อยอย่างมาก ขาดความยืดหยุ่นซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของการเกิดถุงใต้ตา เมื่อมองใบหน้าคนไข้ที่มีถุงใต้ตาระยะที่สามนี้ ใบหน้าจะดูมีอายุ โหวงเฮ้งไม่ดี ไม่สดใส

ถุงใต้ตาแก้ไขอย่างไรได้บ้าง ?
การแก้ไขถุงใต้ตาหมอขอแบ่งเป็นการรักษาที่เหมาะสมของถุงใต้ตาทั้ง 3 ระยะ ดังนี้
1. การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
จากที่หลายท่านทราบกันดีว่าฟิลเลอร์หรือสาร Hyaluronic acid มีความสามารถในการเติมเต็มและแทนที่ในส่วนที่หายไป เราจึงนำเอาประโยชน์ด้านนี้มาแก้ไขถุงใต้ตาในระยะน้อยถึงปานกลาง (ระยะที่ 1 และ 2) โดยฟิลเลอร์จะทำหน้าที่ในการเติมเต็มชั้นไขมันที่หายไปบริเวณช่วงหน้าแก้ม แนวกระดูกเบ้าตาที่ทรุดตัวลง รวมไปถึงซัพพอร์ตแนวเส้นเอ็นบริเวณรอบดวงตาที่หย่อนคล้อยให้เกิดความกระชับขึ้น ซึ่งจะพยุงถุงใต้ตาที่หย่อนขึ้น และดันไขมันใต้ตาด้านในที่ไหลออกมาให้ถูกพยุงกลับเข้าไปในเบ้าตา

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะพบผลข้างเคียงน้อยและไม่ต้องอาศัยช่วงเวลาในการพักฟื้นนานเท่ากับการผ่าตัด แต่การแก้ไขถุงใต้ตาด้วยฟิลเลอร์จะเป็นการรักษาแบบชั่วคราว เมื่อฟิลเลอร์มีการสลายตัว ถุงใต้ตาจะกลับมาตามเดิม ต้องกลับมาฉีดฟิลเลอร์แก้ไขใหม่ ซึ่งในการฉีดแต่ละครั้งจะคงอยู่ได้ในระยะเวลาเฉลี่ยคือ 1 ปี
2. การทำศัลยกรรมผ่าตัดถุงใต้ตา
เหมาะกับการแก้ไขถุงใต้ตาในระยะปานกลางถึงรุนแรง (ระยะที่ 2 และ 3) เป็นการผ่าตัดจัดเรียงถุงใต้ตาใหม่ หรือตัดไขมันบริเวณถุงใต้ตาและผิวหนังส่วนเกินออก รวมถึงหัตถการที่เป็นการดูดไขมันบริเวณถุงใต้ตาออกด้วยเช่นเดียวกัน

โดยการผ่าตัดจะมีตำแหน่งที่เปิดแผลสองแบบคือจากผิวบริเวณใต้ตาด้านนอก และบริเวณเยื่อบุหนังตาด้านใน การผ่าตัดจะให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานกว่าการฉีดฟิลเลอร์และสามารถแก้ไขถุงใต้ตาที่มีขนาดใหญ่ หย่อนคล้อยเยอะได้ดีกว่าการฉีดฟิลเลอร์ แต่จะมีแผลผ่าตัดซึ่งอาจเป็นแผลเป็นได้ในคนที่มีประวัติเคยเป็นแผลเป็นนูน และใช้เวลาในการพักฟื้นยาวนานกว่า
วิธีบรรเทาถุงใต้ตาที่สามารถทำเองได้ที่บ้าน
วิธีนี้จะสามารถช่วยบรรเทาถุงใต้ตาที่ดูบวมให้ดีขึ้นได้ ในถุงใต้ตาที่เกิดจากการคลั่งของของเหลวบริเวณใต้ตาจากการทานอาหารรสเค็มจัด นอนพักผ่อนน้อย ป่วย ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นต้น

- ประคบถุงชา นำถุงชาแช่เย็นแล้วประคบบริเวณใต้ตาประมาณ 20 นาที คาเฟอีนในชาสามารถช่วยลดบวมบริเวณใต้ตาได้
- นอนพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมง
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ 1-1.5 ลิตร การดื่มน้ำจะช่วยขับเกลือออก และลดความเข้มข้นของเกลือในร่างกาย
- ประคบน้ำแข็ง จะช่วยขยายหลอดเลือดใต้ตา
- ลดอาหารที่มีรสเค็ม
- งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
- งดการสูบบุหรี่
- นอนหัวสูง
- ควบคุมโรคภูมิแพ้
สรุป
ปัญหาถุงใต้ตาเกิดจากหลากหลายสาเหตุ หากเป็นจากการเปลี่ยนแปลงของของผิวหนังตามช่วงวัย สามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์และการทำศัลยกรรมผ่าตัดถุงใต้ตา ส่วนถุงใต้ตาที่เกิดจากการนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ ดื่มแอลกอฮอล์ การทานอาหารรสเค็มจัด และภูมิแพ้ สามารถดีขึ้นได้เองแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
ดังนั้นการประเมินปัญหาถุงใต้ตาที่มีโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงมีความสำคัญ เพื่อการรักษาที่ตรงตามสาเหตุและผลลัพธ์ที่ดีที่สุดค่ะ
